Wednesday, May 24, 2017

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ
ที่มารายการ Top 5 ทางรายการได้จัดนักชิมมาให้คะแนนวัตถุดิบหลักของก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ได้แก่ เส้น ลูกชิ้น น้ำซุป เนื้อสดและเนื้อตุ๋น มาดูกันว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านไหนได้คะแนนวัตถุดิบแต่ละอย่างเท่าไหร่ ใครที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อแต่ไม่รู้จะไปกินที่ไหน มีพิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยๆ ให้คุณตามไปลองกินกัน

1. ร้านกอเต็กเชียง

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้ออันเลื่องชื่อแห่งย่านเตาปูน ถ่ายทอดความเทพจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกมาแล้วกว่า 70 ปี ความอร่อยจากทุกๆ คำจึงเป็นตำนานที่คุณไม่ควรพลาด

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านกอเต็กเชียง ใช้เนื้อส่วนน่องที่มีเอ็นแทรกเล็กน้อยมาตุ๋นในแบบธรรมชาติกว่า 12 ชั่วโมง จนได้ความนุ่มนวลที่ไม่เหมือนใคร ส่วนเนื้อสดที่ใช้เนื้อสันในและน่องลายหมักให้เข้าเนื้อก่อนนำมาลวก ลูกชิ้นเนื้อลูกใหญ่ที่ทั้งอร่อยและโดนใจแบบเต็มๆ อยู่ในน้ำซุปที่ได้จากเนื้อตุ๋นที่ปรุงด้วยความเชี่ยวชาญได้กลิ่นละมุนลอยคลุ้งออกมา ปิดท้ายด้วยเส้นที่ลวกอย่างพิถีพิถันนุ่มกำลังดี

พิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อกอเต็กเชียง

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จากสะพานบางซื่อมุ่งหน้าไปทางบางโพถึงสามแยกไฟแดงให้เบี้ยวขวาเข้าถนนกรุงเทพนนทบุรี จะเห็นร้านกอเต็กเชียงอยู่ทางด้านซ้ายมือ

2. ร้านนายโส่ย
 
ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อชื่อดังแห่งย่านถนนพระอาทิตย์ บรรเลงความอร่อยให้คุณได้ประจักษ์แก่สายตาทุกวัน ไม่มีวันหยุด อัดแน่นด้วยสูตรเด็ดที่มัดใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างโค้งคำนับให้กับความอร่อยแบบขั้นเทพ

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านนายโส่ย ใช้เนื้อสามชั้นมาทำการตุ๋นทิ้งไว้หนึ่งคืน จนน้ำซุปเข้าเนื้อและเนื้อนุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยว ส่วนเนื้อสดใช้เนื้อส่วนสันในอย่างดี มาลวกแบบประณีต ได้ทั้งความสดและนุ่มกำลังดี ลูกชิ้นที่ใช้เนื้อล้วนๆ เด้งสดไม่เหมือนใคร เส้นก็ลวกได้รสสัมผัสพอดี ปิดท้ายด้วยน้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูกและเครื่องยาจีนหลากหลายชนิด

พิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จากถนนพระสุเมรุให้ตรงไปทางถนนพระอาทิตย์ ร้านนายโส่ยจะอยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนถึงซอยชนะสงครามประมาณ 50 เมตร

3. ร้านเจ๊ผอม ตลาดปีระกา

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสุดเก๋าแห่งตลาดปีระกา ดำเนินการโดยเจ๊ผอมที่เติบโตมากับสูตรก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เป็นที่กล่าวขาน เรียกได้ว่าอร่อยจนคุณไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านเจ๊ผอม ตลาดปีระกา ใช้เนื้อส่วนท้องที่เป็นสามชั้นมาตุ๋นด้วยเครื่องเทศที่เป็นสูตรลับจึงทั้งหอมและนุ่มจนแทบละลายอยู่ในปาก ส่วนเนื้อสดใช้ทั้งสันนอกและสันในลวกมากำลังดี นุ่มละมุนลิ้น ลูกชิ้นใช้เนื้อล้วนๆ ในการทำ น้ำซุปที่เคี่ยวจากเนื้อสามชั้น เส้นก็ลวกมากำลังดี ไม่แข็งหรือเละจนเกินไป

พิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊ผอม ตลาดปีระกา

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จากถนนเยาวราชตรงไปถึงซอยนาครเกษม 1 เลี้ยวเข้าซอยไปประมาณ 50 เมตร ร้านเจ๊ผอมจะอยู่ในซอยแรกทางซ้ายมือ

4. ร้านเฮ้งชุนเส็ง

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

สุดยอดก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เปิดตำนานความอร่อยมาแล้วกว่าสามรุ่นอายุคน ด้วยน้ำซุปสูตรโบราณแทรกซึมในเนื้อตุ๋นยาจีนที่เป็นทีเด็ดของร้าน จึงกล้าการันตีว่าเป็นที่หนึ่งของก๋วยเตี๋ยวเนื้อแห่งย่านคลองเตย

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านเฮ้งชุนเส็ง เนื้อสดใช้เนื้อส่วนสะโพกลวกมาอย่างดี เนื้อตุ๋นใช้ส่วนสามชั้นที่ตุ๋นจนนุ่ม ลูกชิ้นมีทั้งแบบเนื้อและเอ็น น้ำซุปก็ตุ๋นจากเครื่องยาจีนและรากผักชีได้ทั้งรสชาติและความหอมมาอย่างครบครัน ทานกับเส้นนุ่มๆ ที่ผ่านการลวกมาเป็นอย่างดี

พิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเฮ้งชุนเส็ง

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จากกถนนสุนทรโกษาตรงไปทางกรมศุลกากร ร้านเฮ้งชุนเส็งจะอยู่บริเวณปากซอยสุนทรโกษา 7 ตรงข้ามกับสนามฟุตบอลการท่าเรือไทย

5. ร้านวัฒนาพานิช

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อชื่อดังของเมืองไทย ด้วยสูตรเด็ดที่มีมายาวนานกว่า 70 ปีส่งตรงจากแดนมังกร บวกด้วยเนื้อตุ๋นที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอด ใครๆ จึงขนานนามว่าเป็นราชันย์ของก๋วยเตี๋ยวเนื้อประจำย่านเอกมัยตัวจริง

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านวัฒนาพานิช ใช้ส่วนสามชั้นติดมันส่วนท้องมาตุ๋นกว่าหลายชั่วโมงจนเนื้อเปื่อย นุ่ม ละลายอยู่ในปาก เนื้อสดใช้เนื้อส่วนลูกมะพร้าวมาหมักด้วยเครื่องเทศสูตรลับของทางร้านก่อนนำไปลวก ลูกชิ้นจัดมาให้ทั้งแบบเนื้อและเอ็น ได้รสชาติของเนื้อเต็มๆ คำ น้ำซุปที่เคี่ยวจากเนื้อตุ๋นและกระดูกส่วนขาและเครื่องยาจีน เส้นก็ลวกกำลังดี

พิกัดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิช

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

จากถนนสุขุมวิทตรงไปที่ซอยสุขุมวิท 63(เอกมัย) พอเข้าถนนเอกมัยให้ตรงไปจนถึงซอยเอกมัย 18 ร้านวัฒนาพานิชจะอยู่ถัดจากซอยเอกมัย 18 ประมาณ 20 เมตร

คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของเส้น       ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเฮ้งชุนเส็งได้คะแนนมากที่สุด  9.7/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของลูกชิ้น    ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิชได้คะแนนมากที่สุด  9.7/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของน้ำซุป    ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อกอเต็กเชียงได้คะแนนมากที่สุด  9.8/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของเนื้อสด   ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิชได้คะแนนมากที่สุด  9.8/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของเนื้อตุ๋น   ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊ผอมตลาดปีระกาได้คะแนนมากที่สุด  9.9/10

 5 สุดยอดร้านกระเพาะปลา 5 สุดยอดร้านเกาเหลาเลือดหมู  5 สุดยอดร้านโจ๊ก  5 สุดยอดร้านสุกี้ทั่วกรุง

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  จัดอันดับ

10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น

10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น
เข้าหน้าหนาวอาหารหม้อไฟเป็นที่นิยมอย่างสูง รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์ได้ทำการสำรวจความเห็นจากนักเขียนนิตยสารด้านหม้อไฟของญี่ปุ่น จนได้ออกมาเป็น 10 อันดับหม้อไฟประจำท้องถิ่น โดยให้ดาราที่เป็นแขกประจำของรายการทำภารกิจทาน 10 หม้อไฟนี้ให้หมด มาดูกันว่ามีหม้อไฟอะไรกันบ้าง

อันดับที่ 10 หม้อไฟเครื่องในกับมะเขือเทศ

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ร้านหม้อไฟสไตล์ฟุกุโอกะที่หาทานได้ในชิบุย่า มีเมนูหม้อไฟให้เลือกถึง 8 ชนิด สำหรับหม้อไฟมะเขือเทศที่ร้านนี้แนะนำนั้นในปี 2009 เป็นที่นิยมในหมู่คุณผู้หญิงสุดๆ จนกลายเป็นเมนูใหม่ของร้านหม้อไฟทั่วไป นี่คือหม้อไฟเพื่อความงามอย่างแท้จริง เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซีและสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย นอกจากนี้ยังใส่เครื่องในที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและมีโปรตีนสูง แถมยังมีไขมันต่ำไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหม้อไฟเพื่อสุขภาพและความงามที่สาวๆ ชื่นชอบ และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุปก็จะใส่ชีสและเครื่องเทศและข้าวลงไปกลายเป็นรีซ็อตโต้ข้าวที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุปมะเขือเทศรสเข้มข้น

อันดับที่ 9 หม้อไฟมิโสะเผ็ดหมูดำ

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟแบบเผ็ดสุดฮิตที่ใช้หมูดำชั้นดีจากจังหวัดคาโกชิม่าเป็นส่วนผสม หม้อไฟจากร้านนาเบะชิมะอิจิโร่เป็นร้านที่ขายหม้อไฟโดยเฉพาะและมีหม้อไฟให้เลือกถึง 10 ชนิดด้วยกัน ส่วนเมนูหม้อไฟที่อยู่ในอันดับที่ 9 นี้ดัดแปลงมาจากชาบูชาบูหม้อดำในท้องถิ่น น้ำซุปที่ใช้ก็ผสมมิโสะสี่ชนิด

อันดับที่ 8 หม้อไฟนกเป็ดน้ำ

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟแสนอร่อยชื่อดังที่มีคิวยาวสุดๆ จากจังหวัดไซตามะ หม้อไฟนกเป็ดน้ำโคชิกายะกับต้นหอม ช่วงที่สามารถทานนกเป็ดน้ำได้คือช่วงจัดงานผลผลิตแห่งเมืองโคชิกายะ นกเป็ดน้ำมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว ต้นหอมก็อวบ อร่อย และช่วยให้น้ำซุปมีรสหวาน และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุป ก็สามารถสั่งเส้นอุด้งมาทานต่อกับน้ำซุป ซึ่งเส้นก็จะซึมซับน้ำซุปที่มีความเข้มข้น

อันดับที่ 7 หม้อไฟเกี๊ยวซ่าอุซุโนะมิยะ

หม้อไฟญี่ปุ่น

เรามากันที่จังหวัดโทชิกิกับหม้อไฟแสนอร่อยราคาถูกที่ใครๆก็ยอมรับ ใช้เกี๊ยวซ่าจากร้านคิอะรันเสะซึ่งเป็นร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังของอุซุโนะมิยะ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่นะมุโกะนันจะทาวน์ในอิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมที่รวมเอาเกี๊ยวซ่าจากทั่วประเทศมาขาย นี่เป็นหม้อไฟยอดฮิตจากร้านอุซุโนะมิยะคิระเซะ ใช้เกี๊ยวซ่าโกราคุ ซึ่งเป็นเกี๊ยวซ่าที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการจัดประกวดที่อิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมแห่งนี้ เกี๊ยวซ่าโกราคุทานกับอาหารทะเลตามฤดูกาลในน้ำซุปคอมบุในหม้อไฟนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ

อันดับที่ 6 หม้อไฟคิริทัมโปะคอลลาเจน

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟจากจังหวัดอาคิตะที่เชื่อกันว่าทานแล้วผิวจะนุ่มลื่น จากร้านกินซ่าฮินายะ ซึ่งจะใส่คอลลาเจนก้อนที่ได้จากไก่ฮิไน คิริทัมโปะ(ข้าวสวยอัดเป็นก้อนเสียบไม้ย่าง)  และใส่เนื้อไก่ฮิไนแบบเป็นชิ้นและแบบสับเป็นก้อนลูกชื้นบะช่อ เนื้อไก่ฮิไนเคยได้รับเลือกในการแข่งขันโอลิมปิคอาหารที่เยอรมันอีกด้วย น้ำซุปที่ใช้ก็เป็นน้ำซุปไก่ใส่ซอสโชยุแถมยังมีความเข้มข้นจากคอลลาเจนอีกด้วย คิริทัมโปะก็ซึมซับน้ำซุปได้เป็นอย่างดี

อันดับที่ 5 หม้อไฟผักนึ่งเพื่อสุขภาพ

หม้อไฟญี่ปุ่น

เราไปกันที่โตเกียวเพื่อสุขภาพแบบสุดๆ กับสไตล์ที่เปลี่ยนไป ร้านที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่เมกุโระ ร้านทาเรโนะฮิ เป็นผักหลายชนิดนึ่งอยู่ในหม้อนึ่งทำให้สารอาหารและวิตามินยังอยู่เกือบครบ แถมความอร่อยยังอยู่เต็มเปี่ยม จุดเด่นอีกอย่างคือซอสทั้งสิบชนิดที่ทำจากวัตถุดิบต่างๆ ที่สามารถเลือกนำมาทานได้ และน้ำซุปที่ได้จากการนึ่งยังเอามาทานต่อด้วยการใส่พาสต้าแบบเส้นเล็กกับไข่ปลาเมนไตโกะลงไป

อันดับที่ 4 หม้อไฟฮอกไกโดจังโกะ

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟจากฮอกไกโดมากันที่ร้านอิชิการิกาวะย่านชินจูกุ จุดเด่นของร้านคือสามารถลิ้มรสความอร่อยของสัตว์ทะเลท้องถิ่นในฤดูกาลของฮอกไกโดซึ่งเป็นร้านที่ว่ากันว่าปลาอร่อยมากเป็นหม้อไฟที่รวบรวมของอร่อยของฮอกไกโดเอาไว้ เป็นเมนูที่ดัดแปลงจากอาหารของชาวประมงท้องถิ่น หม้อไฟนี้รวบรวมเอาวัตถุดิบอาหารทะเลที่สุดยอดเอาไว้ปลายอย่าง มีความโดดเด่นของน้ำซุปที่ได้ความหวานจากเนื้อปู เมื่อทานหมดแล้วก็ปิดท้ายด้วยข้าวต้มแบบเรียบง่ายที่ใส่ข้าวกับไข่ที่ตีแล้วลงไป

อันดับที่ 3 หม้อไฟแกงกะหรี่จิโดริเนียว

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟแสนอร่อยจากจังหวัดมิยาซากิ จากร้านจิโดริเนียวที่มีหม้อไฟให้ลองมากกว่าสิบชนิด ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟที่ใช้น้ำซุปที่ทำจากปลาคัตสึโอะ โชยุ มิโสะข้าวสาลี มิโสะเผ็ด และเครื่องเทศแกงกะหรี่ ได้รสชาติที่นุ่มนวลแต่เข้มข้นด้วยความหอมจากเครื่องเทศแกงกะหรี่ ส่วนวัตถุดิบในหม้อไฟก็มีทั้งเนื้อหมู ไก่ และผักหลากหลายชนิดเช่นผักกาดขาว ต้นหอม หน่อไม้ เห็ด เมื่อกินหมดก็ปิดท้ายด้วยรีซ็อตโต้ที่ใส่ข้าวกับชีสลงในน้ำซุป

อันดับที่ 2 หม้อไฟกิมจิหอยนางรม

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟเกาหลีที่ใส่หอยนางรมสดๆ จากร้านกินซ่าคานาวะที่มีสาขาใหญ่อยู่ที่จังหวัดฮิโรชิม่า สามารถลิ้มรสหอยนางรมที่สดใหม่จากหอยนางรมที่เพาะเลี้ยงไว้ได้ทุกวัน ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟรสเผ็ดที่มีรสชาติแบบเกาหลีเพราะใส่กิมจิลงไปด้วย แถมยังสามารถลิ้มลองหอยนางรมดิบแบบสดๆ ก่อนทานแบบหม้อไฟได้ด้วย

อันดับที่ 1 หม้อไฟไก่ชาโมร็อกคุเซมเบ้

หม้อไฟญี่ปุ่น

หม้อไฟต้นตำรับจากจังหวัดอาโอโมริ หม้อไฟพื้นเมืองแสนอร่อยในประวัติศาสตร์ จากร้านองจิกิทาจิกาวายะ หม้อไฟที่ถือกำเนิดจากอาโอโมริเป็นที่แรก และยังเป็นของพื้นเมืองของที่นั่นอีกด้วย เป็นหม้อไฟที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสที่พิเศษที่สุด แปลกตรงที่ใส่น้ำซุปชาโมร็อกคุเซมเบ้ เวลาทานก็หักขนมเซมเบ้ (ข้าวเกรียบแบบญี่ปุ่น) ลงไปในหม้อ ส่วนชาโมร็อกคุเป็นชื่อของเนื้อไก่ในท้องถิ่นของอาโอโมริที่มีมาตรฐานระดับเดียวกับไก่นาโกย่าโคจิน การใส่เซมเบ้ลงไปในหม้อไฟของที่นี่ทานกันมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ และหม้อไฟนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอาหารท้องถิ่นเกรดบีมาสามปีซ้อน ส่วนน้ำซุปที่เหลือก็ใช้ทำข้าวต้มเครื่องที่ตีแล้วใส่ลงไปพร้อมต้นหอมนิดหน่อย

ที่มา รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  จัดอันดับ

อาการของมะเร็งที่คนคิดไม่ถึง

อาการของมะเร็งที่คนคิดไม่ถึง
ที่มา นิตยสารชีวจิต คอลัมน์ประสบการณ์จากวิชาชีพ โดย ใบเหมียง
การทำสงครามถ้าจะให้ชนะอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ต่อสู้จะต้องใช้กลวิธีโจมตีชนิดที่ไม่ให้ข้าศึกได้ทันรู้ตัว และต้องโจมตีฐานที่มั่นที่สำคัญให้ได้จึงจะชนะเด็ดขาด


เรื่องการต่อสู้กับมะเร็งขณะนี้ก็เหมือนกัน คล้ายๆ กับการทำสงคราม มะเร็งคือตัวข้าศึก เวลานี้ที่ทั้งหมอและคนไข้ต่อสู้กับมะเร็งแล้วไม่ค่อยชนะ ก็เพราะว่าไปสู้ในขณะที่มะเร็งโจมตีถึงฐานสำคัญของชีวิต เช่น โจมตีถึงระบบสมอง ก็ทำให้คนเจ็บหัว คิดไม่ออก ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ กินไม่ได้ โจมตีถึงระบบกระดูก ก็ทำให้คนเดินไม่ได้ เพราะเจ็บหลัง เจ็บขา โจมตีถึงระบบทางเดินหายใจ ก็ทำให้คนหายใจไม่ออก ขาดอากาศ ตาย เป็นต้น

ส่วนในเวลาที่มะเร็งยังโจมตีมาไม่ถึง เราก็ไม่ได้ไปสู้ เหตุที่ไม่สู้ก็เพราะไม่รู้และไหวตัวไม่ทันว่านั่นคืออาการของมะเร็ง คนคิดไปไม่ถึงว่ามะเร็งจะมีเล่ห์เหลี่ยมที่แยบยลยิ่งกว่ากองโจร หลายคนคงเคยเห็นโฆษณาของแผนกมะเร็ง หรือแผนกสุขศึกษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่แจกเป็นแผ่นพับ และที่เขียนไว้ตามบอร์ดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนเรื่องมะเร็งว่าอาการและอาการแสดงของมะเร็งเป็นดังนี้

มะเร็งปอด จะไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด มีอาการหอบเหนื่อย
มะเร็งลำไส้และทวารหนัก ถ่ายปนเลือด มีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย
มะเร็งตับ มีอาการแน่น อึดอัดท้อง
มะเร็งเต้านม มีก้อนที่เต้านม หรือมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม เป็นต้น

อยากจะบอกว่า อาการที่แสดงออกลักษณะอย่างนี้ ไอเป็นเลือด ถ่ายปนเลือด แน่นอึดอัดท้อง มีน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม คืออาการของมะเร็งเต็มขั้นแล้ว หรือเกือบระยะสุดท้ายแล้วทั้งนั้น ซึ่งตัวอย่างก็คงไม่ต้องยกมาให้ดูกันอีกแล้ว เพราะตรงไปตรงมา ถ้าใครมีอาการอย่างนี้มาโรงพยาบาล ส่วนใหญ่หมอก็วินิจฉัยไม่ยากนัก แต่ที่ยากและสร้างความเวียนหัวอยู่ คืออาการที่ไม่ตรงไปตรงมา และมีอาการเพียงเล็กๆ น้อยๆ และยิ่งกว่านั้นยังแสดงออกมาภายนอกอย่างคลุมเครืออีกต่างหาก

อาการเหล่านี้ล่ะที่คนคิดไม่ถึงว่ามันคืออาการอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ความจริงในทางทฤษฎีนั้น ผู้รักษาก็รู้แบะจำได้ขึ้นใจกันทุกคนว่านี่คืออาการของมะเร็ง แต่ในภาคสนามกลับลังเลและสับสน เครื่องมือก็จับไม่ค่อยได้ เพราะไม่ไวพอ และอายุการใช้งานก็เกือบปลดเกษียณแล้ว งานนี้อย่าไปโทษใครเลยให้ศึกษาไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการสังเกตตัวเอง และเพื่อเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้กับมะเร็งกันเสียใหม่

ต่อไปนี้คือตัวอย่างจริงของอาการมะเร็งบางอย่างที่คนทั่วไปไม่ค่อยคิดถึงกัน ตัวอย่างที่ได้มาส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่คลินิกและคนไข้มะเร็งที่มาปรึกษาเป็นการส่วนตัว ซึ่งมีจำนวนมาก แต่จะขอยกตัวอย่างที่สำคัญๆ มาเท่านั้น

รายที่ 1 มาด้วยอาการปวดหลัง แต่เป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย
เป็นชายวัย 49 ปี อาชีพรับราชการ มาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการปวดหลังมากสองอาทิตย์ โดยความปวดมีความรุนแรงเป็นลำดับดังนี้ เมื่อห้าเดือนก่อนมาโรงพยาบาลเริ่มปวดหลังที่ด้านซ้าย ร้าวไปทั่วเอว อาการเป็นไม่มาก ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ก็ได้ยาไปกิน แต่อาการปวดก็ยังไม่ดีขึ้น เวลาสามเดือนผ่านไป ทีนี้ปวดลุกลามไปทั้งสองข้าง ถ้ายืนนานๆ จะปวดมากขึ้น เวลาเดินต้องพยุง ช่วงนี้รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลดไป 10 กิโลกรัมต่อเดือน ก็ไปนอนโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งอยู่สองอาทิตย์ อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลจึงส่งมาที่คลินิก ด้วยเหตุผลว่าไม่มีเครื่องเอ็กซ์เรย์ จึงไม่สามารถรักษาได้มากกว่านี้แล้ว

มาถึงโรงพยาบาลก็ไปอยู่ตึกกระดูกและข้อ ผลเอ็กซ์เรย์พบว่าบางส่วนของกระดูกสันหลังบริเวณทรวงอกหายไปและกระดูกซี่โครงก็หายไป 2 ซี่ ส่วนเอ็กซ์เรย์ปอดก็มีเนื้องอกอยู่ พอเอาชิ้นเนื้อนี้ไปตรวจก็พบว่าเป็นมะเร็ง นอกจากนี้ที่ตับก็มีเนื้องอกอีกด้วย หมอวินิจฉัยว่าคนไข้รายนี้เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เพราะกระจายไปกระดูก ไปตับแล้ว ฉันเจอคนไข้บนเปลนอน นอนอยู่นิ่งๆ แทบไม่ขยับเลย ได้แต่พูดกับยกมือดูดน้ำหวานเท่านั้น คนไข้บอกว่า "ไม่ได้เหนื่อยอะไร มีแต่ปวดหลังมากเท่านั้น"

รายที่ 2 พบเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายจากอุบัติเหตุขาหัก
เป็นชายวัย 58 ปี อาชีพค้าขาย มาที่แผนกฉุกเฉินเช่นกัน ด้วยประวัติว่าเพียงแค่เอาขาซ้ายไปยันรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ขาก็ดังกร๊อบ จึงรู้ว่าขาหัก ไปรักษากับหมอบ้านอยู่หนึ่งเดือน โดยเข้าเฝือกและนวด แต่ก็ยังยืนไม่ได้ บวมและปวดมากขึ้นจึงมาโรงพยาบาล หมอได้ผ่าตัดต่อกระดูก และเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ก็พบว่าเป็นมะเร็งที่กระจายมาจากที่อื่น จึงไปเอ็กซ์เรย์ปอด และคีบชิ้นเนื้อมาตรวจ ก็พบแหล่งจากปอดนี่เอง หมอก็สรุปการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย เพราะกระจายไปกระดูกแล้ว

รายที่ 3 รู้ว่าเป็นมะเร็งปอดก็เพราะจะผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูก
เป็นหญิงวัย 38 ปี อาชีพนับเงินของบริษัทตัวเอง เธอเล่าให้ฟังว่า "พี่ไม่ได้มีอาการทางปอดเลยนะ พี่ยังออกกำลังกายได้ แต่ที่รู้เพราะว่าพี่จะมาผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูกซึ่งเป็นมาตั้งแต่ตอนตั้งท้อง ตอนนี้ลูกพี่คลอดแล้วได้ 8 เดือน ก็เลยว่าจะมาผ่าให้เสร็จๆ ไป แต่พอจะผ่า พี่ก็ต้องไปเอ็กซเรย์ปอดก่อน หมอบอกว่ามีเนื้องอกอยู่ พอคีบชิ้นเนื้อมาดูก็เป็นเนื้อไม่ดี หมอจึงงดผ่าทางโน้น แล้วให้มารักษาทางปอดก่อน"

รายนี้ปรากฏว่าเมื่อไปเอ็กซเรย์กระดูกก็พบว่ากระจายไปกระดูกไหล่ กระดูกไหปลาร้า กระดูกหน้าอกแล้ว สรุปคือ เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายอีกเช่นกัน และสิ่งที่น่าสนใจในรายนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยมีประวัติมาโรงพยาบาลด้วยอาการไอมากเมื่อสองปีที่ผ่านมา แต่รักษาเพียงแค่ได้ยาแก้ไอ ยาแก้ปวด อาการก็หายไป และเมื่อสองเดือนก่อนจะรู้ว่าเป็นมะเร็งปอดก็เคยมาที่แผนกฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บหน้าอกข้างขวา โดยก่อนหน้านี้สามวันมีอาการปวดไหล่ซ้ายมาก่อน ปวดเวลาเอี้ยวตัว พออาการปวดไหล่ซ้ายหายไปก็มาปวดหน้าอกขวาแทน ปวดจี๊ดจนทนไม่ไหว

คนไข้เล่าว่า "นึกจะปวดก็ปวด ถ้าเวลาไม่ปวด แม้ไปกดไปทำอะไร มันก็ไม่ปวด ก็ได้ยามาทาน อาการก็หายไป จนถึงตอนนี้ อาการปวดไหล่ ปวดหน้าอก ไม่มีเลย"

รายที่ 4 มะเร็งหลังโพรงจมูกระยะสุดท้าย มาด้วยต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตสามารถบ่งบอกถึงโรคได้เป็นสิบโรค ตั้งแต่โรคธรรมดาๆ จนถึงโรคร้าย มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ วัณโรค เอดส์ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งโพรงจมูก ดังกรณีรายนี้

เป็นชายวัย 47 ปี อาชีพนักธุรกิจโรงแรมและเล่นหุ้น เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกไปหาหมอที่คลินิกเพราะว่ามีก้อนที่คอด้านซ้ายโต มันมีหนึ่งเม็ดก่อน หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อมากิน หมอบอกผมว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบ กินอยู่สองเดือน ก้อนก็ยังไม่ยุบ หมอก็ให้ยาขนานเดิมมาอีก ก็ยังยืนยันกับผมว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบนั่นแหละ ผมก็กินยาต่ออีกสองเดือน ยิ่งกินยิ่งมีก้อนโผล่ออกมาอีกเม็ดหนึ่ง แต่อยู่ต่ำลงมา ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิทีนี้ ก็เลยเปลี่ยนหมอไปที่โรงพยาบาล หมอคนนี้จับผมส่องกล้องคีบชิ้นเนื้อมาดู ทีเดียวแค่นั้นก็รู้เลยว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก และเป็นขั้นสุดท้ายด้วย

"แกไม่ซักประวัติอะไรผมมากมาย และผมก็ไม่มีอาการอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดนี้ด้วย ไม่ว่าหูอื้แ หน้าชา ตาเข เลือดกำเดาออก ผมไม่มี จะมีก็คัดจมูกนิดๆ หน่อยๆ ผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา"

คนไข้คิดว่าคัดจมูกเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว มันกลายเป็นมะเร็งไปเรียบร้อยแล้ว

รายที่ 5 แค่ไอแห้งๆ ก็เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายได้
ปัญหาเรื่องไอก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่ผู้รักษาวินิจฉัยยากว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ บางครั้งแค่รักษาตามอาการ ให้ยาแก้ไอ อาการก็หายดี แต่บางครั้งรักษากันจนเกือบครบโรคของระบบทางเดินหายใจและระบบทางหู คอ จมูกแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตั้งแต่หวัด คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม วัณโรค ถุงลมโป่งพอง และสุดท้ายไปจบที่มะเร็งปอด ซึ่งบางรายก็ใช้เวลาหลายปี ส่วนบางรายก็โชคดีเจอเร็วหน่อย ดังกรณีรายนี้

เป็นแม่บ้านวัย 39 ปี ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนด้วยอาการไอแห้งๆ มา 4 เดือน มีไข้หวัดร่วมด้วย รักษาแล้วอาการไอแห้งๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่หายขาด ก็ไปอีกรอบหนึ่ง หลังจากรักษาอยู่ 2 เดือน ด้วยอาการเดิม ได้ยามากินอีก อาการก็ยังมีอยู่ ทีนี้จึงเปลี่ยนโรงพยาบาล คนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ก็ได้ยาฆ่าเชื้อ อาการดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายขาด และผลเอกซเรย์ยังคงผิดปกติอยู่ หมอจึงส่องกล้องคีบชิ้นเนื้อมาดู ผลเป็นมะเร็งปอด และไปเอกซเรย์กระดูกก็ปรากฏว่ากระจายไปกระดูกหลายชิ้นแล้ว หมอจึงสรุปว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

รายที่ 6 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นสุดท้าย แต่มาด้วยอาการแน่นหน้าอก
เป็นนักศึกษาหญิง ปวส.ปีสุดท้าย เธอเล่าให้ฟังว่า "ความจริงตอนแรกที่มีอาการเป็นตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 มันเจ็บแปล๊บๆ น่ะ ไม่ใช่แน่นหน้าอก หนูคิดว่าเป็นโรคหัวใจก็ไปตรวจ แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ อาการก็หายไปเอง พออยู่ๆ ก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เพิ่งเป็นปีนี้นี่เอง พี่ดูสิ มาเป็นเอาปีสุดท้ายเสียด้วย ตอนนี้หนูก็กำลังสอบ หนังสือก็ทิ้งไปเลย ไม่ได้เรียนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาเป็นกับหนูด้วย"

รายนี้ได้เจาะไขกระดูก และในที่สุดหมอสรุปว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย

รายที่ 7 แค่คลำได้ก้อนที่หน้าท้องก็เป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่สามแล้ว
เป็นนักเรียนหญิง อายุ 14 ปี เธอเล่าให้ฟังว่า "หนูรู้สึกแน่นๆ ท้องมาเดือนหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้มีก้อนอะไร เพิ่งมาคลำได้ก้อนเมื่อห้าวันก่อนมาโรงพยาบาลนี่เอง และหนูรู้สึกว่าแน่นท้องมากขึ้นในอาทิตย์นี้ ก็ไปหาหมอ หมอก็ผ่าตัดเลยและบอกว่ามันเป็นเนื้อร้าย"

รายนี้ตอนที่ผ่าตัดก็พบว่าเนื้องอกลุกลามไปตามเยื่อหุ้มหลายแห่งแล้ว และมีน้ำในเยื่อบุช่องท้องด้วย ส่วนประวัติอื่นๆ เช่น การมีประจำเดือน ก็มาตามปกติ ไม่ได้ปวดอย่างผิดปกติใดๆ เดี๋ยวนี้นักเรียนหญิงชั้นมัธยมพบมะเร็งรังไข่กันมากขึ้น และส่วนใหญ่อาการที่มาโรงพยาบาลมักเป็นระยะที่สามแล้วเกือบทั้งนั้น ส่วนระยะที่สี่ก็มีคือลุกลามไปปอดแล้ว

รายที่ 8 ทั้งปวดหัวทั้งไอ กลายเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เป็นชายวัย 47 ปี รับราชการครู มาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหัวและไอ อาการที่ปวดหัวนั้นเริ่มจากที่ท้ายทอย แล้วร้าวมาที่ขมับทั้งสองข้าง ปวดตื้อๆ ตลอดเวลา มีไอร่วมด้วย บางครั้งมีเลือดปน ไปหาหมอก็บอกว่าหลอดเลือดที่หลอดลมแตก ส่วนเอกซเรย์ปอดปกติ ได้แต่ยามากิน อาการก็ไม่ดีขึ้น

หนึ่งเดือนผ่านไป ปวดหัวมีมากขึ้น เริ่มมีอาการตึงๆ ที่คอ กินไม่ค่อยได้ รู้สึกกลืนลำบาก และเริ่มมองเห็นภาพไม่ค่อยชัด ตาพร่าๆ ส่วนอาการไอดสมหะปนเลือดยังมีอยู่ จึงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร ได้แต่เอกซเรย์ปอดสองครั้ง ก็บอกว่าปกติ ได้ยามากินอีกเช่นเคย อาการก็ยังไม่ดีขึ้น

หนึ่งเดือนครึ่งผ่านไป อาการไอเสมหะปนเลือดมีมากขึ้นอีก ไอทุกวัน และเริ่มคลำได้ก้อนที่คอด้ายซ้าย ก้อนแข็งๆ เจ็บเล็กน้อย อีกสิบวันครบสองเดือน คนไข้มีอาเจียนตอนเช้า อาการอื่นคงเดิม เป็นอย่างนี้อยู่สี่วันจึงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่เปลี่ยนโรงพยาบาล ก็ทำการตรวจทุกอย่างเอกซเรย์ปอดก็พบผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองที่คอก็จิ้มชิ้นเนื้อไปตรวจ พบเป็นมะเร็ง ส่งเสมหะไปตรวจย้อมดูเซลล์ ก็พบเป็นมะเร็ง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ก็พบเนื้องอก หมอจึงสรุปการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

รายที่ 9 เค้นๆ หน้าอก ในที่สุดก็พบมะเร็งหลอดอาหาร
เป็นพระภิกษุวัย 56 ปี บวชมาได้หนึ่งพรรษา ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานขับรถเมล์ระหว่างจังหวัด ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเหล้า ท่านเล่าให้ฟังว่า "ที่มาโรงพยาบาลในครั้งนี้เพราะกลืนข้าวต้มไม่ลง ส่วนก่อนหน้านี้อาการช่วงแรกเป็น มันรู้สึกเค้นๆ หน้าอกเวลากินข้าว (เค้นๆ หรือที่คนใต้บอกว่าแค้นๆ คืออาการเดียวกัน เป็นอาการที่เวลากินอาหารแล้วรู้สึกกลืนไม่ค่อยลง จะกระจุกอยู่ที่หน้าอก เหมือนกับเวลาที่กินหัวเผือกหัวมันในอัตราที่เร็วเกินไป ก็รู้สึกอาหารผ่านไปได้ลำบาก ต้องดื่มน้ำตาม แล้วยืดคอให้ยาวๆ ถึงจะกลืนได้ลง) หลังจากนั้นพอกินข้าวสวยก็เริ่มติด ต่อมากินข้าวต้มก็ติดอีก กลืนไม่ลง ก็นึกในใจว่าสงสัยอาการไม่ดีแล้วสิท่า จึงมาโรงพยาบาล หมอก็ให้กลืนแป้งกับส่องกล้องเข้าไปดูในหลอดอาหาร ก็บอกว่ามีเนื้องอกเต็มไปหมดแล้ว หมอนัดจะผ่าวันพุธหน้า" ผลจากชิ้นเนื้อก็เป็นมะเร็งหลอดอาหาร และท่านก็ตัดสินใจกลับวัด ไม่ยอมให้ผ่าตัด

นี่เป็นตัวอย่างพอสังเขปที่ยกมาให้ศึกษากัน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างอาชีพ อาการที่พบเหล่านี้ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และมากขึ้นทุกวัน จากตัวอย่างจะเห็นว่าเป็นการยากมากที่จะพบอาการเริ่มแรกของมะเร็งด้วยตาเปล่าหรือเอามือคลำ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะจุดเริ่มต้นยังอยู่ที่ระดับเซลล์ ต้องคีบชิ้นเนื้อข้างในมาดูกับกล้องขยายจึงจะเห็น ในทางปฏิบัติแล้วทำไม่ค่อยได้ จะได้เฉพาะมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านมเท่านั้น เพราะใช้เครื่องมือง่ายๆ ได้ และเป็นอวัยวะที่ตรวจจากภายนอกได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม อยากจะสรุปบทเรียนจากกรณีตัวอย่างนี้ว่า ยิ่งมีข้อจำกัดด้านเครื่องมือและประสบการณ์ของผู้รักษามากเท่าใด เรายิ่งจำเป็นต้องเคร่งครัดในการดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จะผัดวันประกันพรุ่ง หรือมีข้ออ้างโน่นอ้างนี่คงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าอยากจะชนะมะเร็งก็ต้องใช้วิธีของมะเร็งคือโจมตีเสียก่อน ก่อนที่มะเร็งจะไหวตัวทันและสร้างป้อมปราการทุกด่านให้แน่นหนา อย่าให้มะเร็งเจาะทะลุเข้ามาได้ด้วยการสร้างภูมิชีวิตให้เข้มแข็ง การปล่อยให้มีอาการแล้วจึงไปรักษานั้น ไม่ว่าอาการมากหรืออาการน้อยก็ตาม เป็นความประมาทและไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง และที่สำคัญคือไว้ใจไม่ได้เลยสำหรับมะเร็ง ต่อไปนี้เราจะใช้กลยุทธเดิมๆ ที่รอให้พิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งแน่ชัดแล้วจึงลุกขึ้นต่อสู้นั้น กลยุทธ์นี้คงไม่ทันกาลแล้ว และหวังว่าอาการของมะเร็งที่คิดไม่ถึงนี้ คงไม่ทำให้เกิดความกังวลจนหวาดระแวงเกินไปนักนะคะ

ทานอาหารล้างพิษ ทำไมท่อน้ำดีจึงอุดตัน สมุนไพรต้นเหงือกปลาหมอ โรคกระดูกพรุนป้องกันได้

10 อันดับสัตว์มีพิษ

10 อันดับสัตว์มีพิษ
อันดับที่ 10 ทากทะเล



ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด

อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)


มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์


อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้

อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)



เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์พิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้

ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง

เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชนั้นลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น

อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)


บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที

อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)


สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว

อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)



สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง

อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)



นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป

อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) 


มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก

อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)


มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ

อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)


สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui)  ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน

*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin)  เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  จัดอันดับ

5 อันดับผีตามความเชื่อของคนอีสาน


อันดับที่ 5 ผีฟ้า

ผี, เรื่องเล่าผี, สยองขวัญ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องผี, เรื่องน่ากลัว, ฆาตกรโหด, ฆาตกรต่อเนื่อง, อันดับผี

ตามความเชื่อของชาวอีสาน ผีฟ้าก็นั้นก็คือเทวดารูปหนึ่งที่มีอำนาจทุกอย่างบนท้องฟ้า อาจจะให้ดีหรือร้ายแก่มนุษย์ก็ได้ ซึ่งหัวหน้าใหญ่ของผีฟ้าก็คือพญาแถน ผีฟ้าจะให้คุณกับบุคคลที่เชื่อและศรัทธากับผีฟ้า ซึ่งมีดังนี้ มาจากการที่ผีฟ้าเลือกเอง จากการมองเห็นนิมิตร มาจากการที่เป็นหนี้บุญคุณผีฟ้า เช่นช่วยในการทำให้หายป่วย มาจากการสืบทอดบรรพบุรุษ คือ มีการสืบทอดในตระกูล แต่หากผู้ใดที่ทำผิดครูจะถูกสาปให้กลายเป็นปอบ

อันดับที่ 4 ผีเป้า
มีลักษณะคล้ายกับผีปอบ แต่จะเป็นในผู้ชาย ผีเป้าเกิดจากการที่คนๆ นั้นเรียนวิชาอาคม แล้วไม่สามารถที่จะรักษาวิชาอาคมนั้นเอาไว้ได้ มีอีกความเชื่อหนึ่งว่าผีเป้าเกิดจากคนที่ชอบกินของสุกๆ ดิบๆ ด้วยเหตุนี้คนอีสานจึงมักสอนลูกๆ ไม่ให้กินของสุกๆ ดิบๆ เพราะจะกลายเป็นผีเป้า ผีเป้านั้นมักจะไม่สู้คน เมื่อออกหากินก็มักจะพกของมีค่าไว้เสมอ เพราะหากไปเจอคนก็จะถูกจับได้ว่าเป็นผีเป้า จึงต้องพกของมีค่าเหล่านี้เอาไว้ติดสินบนหรือเป็นค่าปิดปาก เมื่อโดนจับได้จะไม่โดนขับไล่เหมือนกับผีปอบ แต่จะโดนรังเกียจแทน เพราะผีเป้านั้นไม่ทำร้ายคน ลักษณะองผีเป้านั้นจะมีแสงอยู่ที่ปลายจมูก แต่พอเมื่อเจอคน แสงนั้นจะดับลงไปทันที ในตอนกลางวันผีเป้าจะเป็นเหมือนนปกิทั่วไป แต่พอตกกลางคืนผีเป้าที่สิงอยู่ในร่างนั้นจะมีอาการหิวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และจะออกไปหากบกินตามทุ่งนา แต่ถ้าหากบไม่ได้ก็จะไปจับไก่ในเล้าแทน ชาวบ้านจึงมักจะไปดักจับผีเป้าตามทุ่งนาเพื่อหวังะรับเงินสินบนนั่นเอง

ผี, เรื่องเล่าผี, สยองขวัญ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องผี, เรื่องน่ากลัว, ฆาตกรโหด, ฆาตกรต่อเนื่อง, อันดับผี

อันดับที่ 3 ผีแม่ม่าย
ผีแม่ม่ายจัดอยู่ในผีประเภทบังบด หรือเป็นมนุษย์ในอีกมิติหนึ่ง เมืองที่ผีบังบดอยู่นั้นนิยมเรียกว่าเมืองลับแล ว่ากันว่าเมืองนี้มีแต่แม่ม่าย ทุกคนล้วนแล้วแต่สวยงาม ผีตนนี้จะออกเที่ยวในยามค่ำคืนเพื่อหลอกล่ชายหนุ่มให้ไปเป็นสามีทีละหนึ่งคน โดยผีแม่ม่ายจะหลอกล่อจิตวิญญาณของคนๆ นั้นขณะนอนหลับ เมื่อดวงวิญญาณติดตามผีแม่ม่ายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมื่อร่างของเรานั้นไม่มีดวงวิญญาณก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าหากดวงวิญญาณของเราถูกผีแม่ม่ายหลอกล่อไปแล้วจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกคือตายนั่นเอง หากครอบครัวใดมีผู้ชายที่ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อผีแม่ม่าย ให้นำหุ่นรูปผู้ชายไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อผีแม่ม่ายจะมาเอาไปเป็นสามี ผีแม่ม่ายจะคิดว่าหุ่นนั้นเป็นชายหนุ่ม และก็จะเอาหุ่นนั้นไปแทน ว่ากันว่าผีแม่ม่ายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวจึงมีความ้องการทางเพศสูงมาก หากจะให้ได้ผลดีขึ้นให้นำปลัดขิกทาสีแดงตั้งไว้คู่กับหุ่น

อันดับที่ 2 ผีจ้างหนัง
เรื่องผีจ้างหนังเป็นเรื่องเล่าที่เล่ากันว่า เรื่องเกิดเมื่อตอนปีพุทธศักราช 2532 มีคนว่าจ้างให้หนังเร่ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างนั้น ที่ตกลงกันอยู่ที่ 4,000 บาท ฉายหนังสามถึงสี่เรื่อง โดยให้ฉายช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีสี่ พอถึงตีสี่ต้องเก็บข้าวของให้หมดก่อนที่จะสว่าง ทางหนังเร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นความ้องการของผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาเริ่มฉายหนังตอนสามทุ่มก็มีผู้หญิงชุดขาวนั่งอยู่ข้างหนึ่ง และมีผู้ชายชุดดำนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ว่าหนังฉายไปแบบไหน คนเหล้านั้นก็เพียงแต่มองดูไปเฉยๆ นิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เมื่อถึงตอนเวลาตีสี่ ก็มีนมาบอกหนังเร่ว่าให้รีบเก็บข้าวของแล้วให้ออกไปทันทีและห้ามหันหลังกลับมาดู ทางฝ่ายหนังเร่ก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ในระหว่างนั้นทางฝ่ายหนังเร่ก็สงสัยกันว่า ทำไมจะต้องห้ามหันหลังกลับมาดูด้วย จึงได้ลองหันหลังกลับไป พวกผู้คนที่มาดูกันหลายคนก็ต่างหายไปหมด เหลือเพียงป่าทึบๆ ให้เห็นเท่านั้น

อันดับที่ 1 ผีปอบ
ปอบเป็นผีที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ผีปอบนิสัยจะคล้ายๆ กับผีเป้า แต่จะนิสัยแย่กว่ามากๆ และจะสิงอยู่ในตัวผู้หญิงมากกว่า ของกินของผีปอบก็เหมือนกับผีเป้าคือของสุกๆ ดิบๆ ผีปอบจะแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

ผี, เรื่องเล่าผี, สยองขวัญ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องผี, เรื่องน่ากลัว, ฆาตกรโหด, ฆาตกรต่อเนื่อง, อันดับผี

ประเภทที่ 1 ปอบที่สืบทอดมาเป็นวงศ์ระกูล ซึ่งจะสืบทอดกันทางเลือดและน้ำลาย ชาวอีสานจะชอบเคี้ยวข้าวแล้วป้อนให้ลูกกินที่เรียกกันว่าข้าวย้ำ จึงทำให้เด็กที่กินนั้นติดเชื้อปอบไปโดยปริยาย ปอบที่ติดต่อกันทางสายเลือดนั้นะมีนิสัยดุร้ายไม่มาก หลบๆ ซ่อนๆ ไม่สุงสิงกับใคร

ประเภทที่ 2 ปอบเวทย์ ปอบประเภทนี้เกิดจากผู้ที่มีวิชาอาคมแล้วผิดคำสั่งห้ามของครูอาจารย์ ทำให้กลายเป็นปอบ โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่โลภมากแล้วเก็บค่าครูเกินที่กำหนด เพราะในอดีตคนโบราณะเห็นน้ำใจนั้นดีกว่าเงิน เมื่อเรียกเก็บค่าครูจะเรียกพอประมาณ ไม่ละโมบเรียกเก็บมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ปอบที่ผิดครูจะมีนิสัยดุร้ายมากและเป็นปอบที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด

ประเภทที่ 3 ปอบเลี้ยง ปอบประเภทนี้เกิดจากวิชาอาคมของหมอผี ที่อัญเชิญผีห่า ดวงวิญญาณผีมาสิงอยู่ในกรวยดอกไม้หรือหุ่นอาคมที่ทำขึ้น เกิดเป็นปอบที่มีแต่สิ่งชั่วร้ายมารวมเป็นตัวเดียวกัน ส่วนมากปอบประเภทนี้จะถูกนำมาเลี้ยงไว้ใช้งานแต่ต้องมีของเซ่นไหว้ด้วย หากไม่ทำการเซ่นไหว้ วิชาอาคมจะเข้าแทรกซ้อนตัวจนทำให้เป็นบ้าและเสียชีวิตได้ ปอบชนิดนี้จะมีความดุร้ายมากและฉลาดอีกด้วย พวกมันจะไม่กินของสุกๆดิบๆ เหมือนปอบประเภทอื่น และจะบำเพ็ญจนวิชาอาคมแก่กล้าอีกด้วย

ผี, เรื่องเล่าผี, สยองขวัญ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องผี, เรื่องน่ากลัว, ฆาตกรโหด, ฆาตกรต่อเนื่อง, อันดับผี

ประเภทที่ 4 ปอบเจ้า เป็นราชาของปอบทั้งมวล คือเป็นผีปอบที่ผ่านการขับไล่ของหมอผีมาแล้ว ปอบประเภทนี้คือปอบหนึ่งในสามประเภทข้างต้นที่ถูกทำร้ายกักขังจนเกิดการอาฆาตแค้น เมื่อถูกปลดปล่อยจะเข้าสิงสัตว์และมนุษย์และะกินทกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งตับไตไส้พุง เมื่อปอบตัวนี้เข้าไปอยู่ที่บ้านใด บรรดาไก่เป็ดที่เลี้ยงไว้จะหมดเล้าภายในคืนเดียว เมื่อบ้านใดที่ไก่ถูกกินนหมดเล้าจะเรียกว่าห่าลง

ที่มา ยำสยอง Youtube Channel


สยองขวัญ
จัดอันดับ


ที่มา ยำสยอง Youtube Channel

บทความแนะนำ

10 อันดับฆาตกรเด็ก ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน ย้อนรอยคดีพิศวาสฆาตกรรม นวลฉวีและศยามล ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper) คดีโหดแห่งเขาแอลป์ ปริศนามรณะตระกูลเคนเนดี้ ย้อนรอยคดีซีอุยฆ่ากินเครื่องในเด็ก ปริศนาฆาตกรรม ใครฆ่านางงามเด็กแห่งโคโลราโด้


อาหาร, เมนูอาหาร, เมนูขนมหวาน, อันดับอาหาร, รีวิวอาหาร, รีวิวขนม, ร้านอาหารอร่อย ภัยอันตราย, ภัยยาเสพติด, ภัยจากสัตว์มีพิษ, ภัยธรรมชาติ, ภัยอาชญากรรม สุขภาพ, สุขภาพดี, อาหารสุขภาพ, สมุนไพร, ประโยชน์ของสมุนไพร วิทยาศาสตร์น่ารู้, จักรวาล, ความรู้วิทยาศาสตร์, นักวิทยาศาสตร์ ผี, เรื่องเล่าผี, สยองขวัญ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องผี, เรื่องน่ากลัว, ฆาตกรโหด, ฆาตกรต่อเนื่อง, อันดับผี อันดับสัตว์, สิบอันดับสัตว์, สารคดีสัตว์โลก, ชีวิตสัตว์โลก ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์ จัดอันดับ, 10 อันดับ, สิบอันดับ, ที่สุดในโลก, 10 อันดับสัตว์, 10 อันดับผี, 10 อันดับฆาตกร, 10 อันดับอาหาร, 10 อันดับเรื่องสยองขวัญ จัดอันดับ, 10 อันดับ, เรื่องสยองขวัญ, เรื่องเล่าสยองขวัญ, ดูดวง, นิทาน, ภัยอันตราย, สมุนไพร, สุขภาพ